วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หนังสือนิทานสำหรับเด็ก

สมัยนี้เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับเด็กมีมากมาย

สมัยนี้เสื้อผ้าแฟชั่นเสื้อผ้าสำหรับเด็กในช่วงอายุ 1-3 ขวบ  นั้นมีมากมาย ไม่ว่าผู้ใหญ่จะมีชุดหรู สวยงามแค่ไหน ตอนนี้แฟชั่นเหล่านั้นก็ถูกออกแบบมาให้สำหรับเจ้าตัวเล็กของเราด้วยเช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เวลาคุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งจะมีลูกคนแรกจะต้องเลือกซื้อเสื้อผ้าเด็กให้เข้าเทรนใหม่ และเวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้าจะเห็นแผนกเสื้อผ้าเด็กนั้นมีแต่เสื้อผ้าที่ออกแบบมาเพื่อแฟชั่นหลากหลายสุดหรูและดูสวย หล่อ เท่ห์ ไม่แพ้แฟชั่นของผู้ใหญ่เลยทีเดียว แต่ก่อนที่เราจะเลือกซื้อเสื้อผ้าให้เด็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อลูกของเราอยู่ในช่วงปฐมวัยคือ 1-3 ขวบแรก ด้วยนั้น เราควรคำนึงถึง 3 ประเด็นหลักก่อนที่จะควักเงินออกจากกระเป๋านะค่ะ ซึ่งหลายครอบครัวมักจะลืมประเด็นเหล่านี้เสมอ ลองดู Peview สินค้าเสื้อผ้าเด็กก่อนคะ





บทความจาก : iambebebe 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : เสื้อผ้าเด็ก  หรือ  www.be-bebe.com  
VDO ตัวอย่างสินค้าที่ : เสื้อผ้าเด็ก

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เสื้อผ้าเด็ก เทรนด์ใหม่ๆ ให้กับเด็กๆ

          สมัย นี้ไม่มีใครปฏิเสธหรอกค่าต่อให้รายได้เยอะแค่ไหนก็ต้องมองหาของดีและถูก จะซื้อเสื้อผ้าเด็ก ชุดเด็ก ราคาถูกๆเป็นหน้าที่คุณแม่อย่างเราค่าที่ต้องแสวงหา 


          เพราะว่าการเลือกซื้อเสื้อผ้าเด็กเด็กเทรนด์ใหม่ๆ ให้กับเด็กๆ ลูกๆของ ท่านเพื่อให้ ดูดี ดูสวยงาม ดูหล่อ กันทุกคน ทำให้ลูกๆดูดีค่ะ แต่ราคานี่สิ คุณแม่สู้ไม่ไหวเลย ไหนลูกบางคนก็ตามเทรนเป็นกะเค้าด้วย เพื่อให้เค้าเข้ากับกลุ่มเพื่อนของเค้าได้ดิฉันไปสังเกตุแล้วเค้าก็จะคุยกัน เรื่องการ์ตูน อะไรๆที่เป็นขวัญใจเค้า เด็กผู้ชายก็อะไร เบนเท็น เด็กผู้หญิงก็อะไรหมีพู มินนี่ ก็อีกเยอะ ดิฉันจำไม่ได้ค่ะก็น่ารักดี ทีนี้พอเค้าอยากใส่เสื้อผ้าหรือสะพายกระเป๋าก็จะหาซื้อที่มีการ์ตูนพวกนี้ ล่ะค่ะ หรือถ้าไม่ใช่แนวการ์ตูนก็จะเป็นแบบแฟชั่นเด็ก เพราะเสื้อผ้าแฟชั่นเด็ก ก็มาจากผู้ใหญ่อีกที เกาลง เกาหลี ไทยๆเราก็ 

                   แต่จะทำอย่างไรล่ะ เมื่อต้องการของดี ราคาถูก และให้ถูกใจลูกด้วย.... ไม่ยากค่ะเดี๋ยวนี้อะไรๆก็ง่ายไปซะหมด โดยเฉพาะการซื้อขาย อยู่บ้านก็สามารภช๊อปไปถึงอีกซีกโลกได้ เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เราก็สามารถยกเอาปัญหากวนใจของเจ้าตัวน้อยที่เกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าออกไป ได้เลย ด้วยการเปิดหาเว็บไซต์ที่ขายเสื้อผ้าเด็ก โอ๊ย!!! มีเป็นร้อยๆค่ะ หาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกใจ แต่ไม่ใช่ว่าจะดีแค่ได้เลือกเยอะเท่านั้น ยังได้เปรียบเทียบราคาว่าร้านไหนที่ถูกกว่ากันด้วย และคุณลูกยังได้เสื้อผ้าที่ถูกใจส่วนคุณแม่ก็ได้จ่ายในราคาที่ถูก ยิงนกทีเดียวได้หลายต่อเลยซึ่งฉันเป็นคุณแม่ที่รักลูกมากค่ะ แล้วก็จะสรรหาของให้คุณลูกๆแต่ละอย่างนี่ต้องดี มีคุณภาพ และราคาถูก



บทความจาก : iambebebe 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : เสื้อผ้าเด็ก  หรือ  www.be-bebe.com  
VDO ตัวอย่างสินค้าที่ : เสื้อผ้าเด็ก

การเลือกเสื้อผ้าสำหรับเด็กทุกวัย

             สำหรับคนที่กำลังหาซื้อเสื้อผ้าให้กับเด็กนั้นแต่ยังเลือกไม่ถูกว่าจะใช้ผ้าแบบไหนดี เราขอแนะนำดังนี้ค่ะ



           แรกเกิดนั้นจะต้องเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่ง่าย เป็นผ้าที่ไม่นุ่มสบาย และไม่มีลวดลายสีสันมากนัก เนื่องจากการทำลายนั้นเกิดจากสารเคมี ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ค่ะ เพราะผิวเด็กแรกเกิดนั้นจะบอบบางมากค่ะ


การเลือกซื้อเสื้อผ้าสำหรับเด็กหัดเดิน 
            
 ถ้าเด็กกำลังหัดเดิน หรือคลานได้แล้ว การเลือกซื้อเสื้อผ้าจะต้องเป็นแบบที่สามารถสวมใส่ได้ง่าย ประหยัดเวลา เนื่องจากเด็กจะไม่ค่อยอยู่นิ่ง และเสื้อผ้าของเด็กวัยนี้ควรเป็นผ้าที่สามารถซักทำความสะอาดได้ง่าย เพราะเด็กวัยนี้จะเล่นซนจนเสื้อผ้าเปื้อนเลอะเทอะได้ง่ายค่ะ


การเลือกซื้อเสื้อผ้าสำหรับเด็กกำลังโต
           
             เด็กวัยนี้จะสามารถเรียนรู้ได้เร็ว เป็นช่วงเวลาที่กำลังอยากรู้ อยากเห็นทุกอย่าง ให้เลือกเสื้อผ้าที่มีสีสัน และมีลายที่น่าสนใจ เพื่อเป็นการเพิ่มจินตนาการให้กับเด็กๆ ได้ค่ะ และควรเป็นเสื้อผ้าที่ใส่พอดีตัว ไม่เล็ก หรือไม่ใหญ่จนเกินไป ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกมากมายทั้งหญิงและชายนะคะ


ยังไงแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กๆ โตเร็วมาก ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางครั้งเสื้อผ้าที่ใส่เพียงไม่กี่ครั้งก็จะใส่ไม่ได้แล้ว จะต้องซื้อใหม่ ดังนั้น ถ้าครอบครัวที่ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย อาจจะไม่ต้องซื้อหลายชุดนักก็ได้ แต่หมั่นขยันซักเอาค่ะ หรืออาจจะรับมือสอง หรือจากคนรู้จักก็ได้ค่ะ






บทความจาก : iambebebe 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : เสื้อผ้าเด็ก  หรือ  www.be-bebe.com  
VDO ตัวอย่างสินค้าที่ : เสื้อผ้าเด็ก

การเลือกเสื้อผ้าเด็กอ่อน

    สำหรับคุณแม่ที่กำลังมองหาเสื้อผ้าเด็กอ่อนให้กับสมาชิกวัยแรกเกิดถึงประมาณขวบหน่อย ๆ  บทความนี้เรียบเรียงโดยแม่ค้าร้านคิดส์ดีจะมาแนะนำวิธีการเลือกเสื้อผ้าเด็กอ่อนเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจซื้อกันค่ะ

เรื่องเนื้อผ้า
        โดยทั่วไปเส้นใยที่เหมาะจะนำมานำมาตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับเด็กอ่อนคือเส้นใยธรรมชาติโดยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือเส้นใยป่านและเส้นใยฝ้ายประเภทเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากเส้นใยป่านมากที่สุดก็เห็นจะเป็นเสื้อผ้าสำหรับเด็กทารกจำพวก ชุดเด็กทารกแบบป้ายผูกหน้า หรือแบบผูกหลัง  เนื่องจากมีความโปร่งบาง ระบายอากาศได้ดีเหมาะจะใส่ในช่วงหน้าร้อน  สำหรับเนื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยฝ้ายหรือที่เรามักเรียกว่าผ้าคอตตอน ก็ถือเป็นเนื้อผ้าอีกประเภทที่นิยมทั้งเสื้อผ้าเด็กอ่อนสำหรับใส่อยู่บ้านและเสื้อผ้าแนวแฟชั่นสำหรับใส่ออกนอกบ้าน  สำหรับคุณสมบัติเด่นก็คือเรื่องการระบายความร้อนได้ดีมีความอ่อนนุ่มและไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กทารก  โดยเนื้อผ้าคอตตอนก็จะมีทั้งแบบที่เป็นคอตตอน 100 %  และแบบเส้นใยผสมกล่าวคือมีการผสมเส้นใยสังเคราะห์ Polyester หรือเส้นใยสังเคราะห์ประเภทอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติบางประการให้กับเนื้อผ้า เช่น ลดการยืด(หด) และช่วยลดต้นทุนการผลิต(เส้นใยสังเคราะห์ราคาจะถูกกว่าเส้นใยธรรมชาติ) ดังนั้นหากจำเป็นต้องเลือกเสื้อผ้าให้กับคุณลูกก็ขอให้ดูที่ส่วนผสมของเนื้อผ้าคอตตอนเป็นหลักนะค่ะ ถ้าได้คอตตอน 100 % ถือว่าดีที่สุด  (ผ้าคอตตอน 100 % ก็จะมีหลายเกรด  อันนี้ไม่ขอแจกแจงเดี๋ยวจะยาว)


เสื้อผ้าเด็กอ่อนแบบไหนเหมาะกับลูกน้อย
        อันนี้คงไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัวค่ะว่า จะใส่ชุดบอดี้สูทดี ชุดหมีดีหรือใส่ชุดป้ายผูกหน้าดีกว่ากัน เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วคุณแม่ ๆ ก็จะเลือกซื้อเสื้อผ้าเด็กอ่อนให้กับลูกหลากหลายแบบตามสภาพอากาศและสถานที่ว่าเป็นชุดใส่อยู่ในบ้านหรือเป็นชุดใส่ออกนอกบ้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่คุณแม่ทุกคนคำนึงถึงสำหรับเด็กอ่อนก็คือใส่สบายในแต่ล่ะสภาพอากาศ อย่างชุดคอตตอนแขนยาวขายาวก็เหมาะที่จะใส่นอนในห้องแอร์หรือใส่ในหน้าฝนหรือหน้าหนาวที่กลางคืนอากาศเย็น  ชุดผ้าป่านแบบป้ายผูกก็จะเหมาะกับเด็กช่วงแรกเกิดถึง3 เดือนเอาไว้ใส่ในวันที่อากาศร้อน หรือใส่ช่วงกลางวันอยู่ในบ้านเพื่อให้เด็กรู้สึกสบายตัว  หรือถ้าต้องการชุดที่ใเหมาะกับการพาออกไปไหนมาไหนหรือพาออกนอกบ้านไปพบคุณหมอ เวลาอุ้มเสื้อจะได้ไม่รั้งจนเห็นพุงหรือเวลาเด็กคลานกระดืบ ๆ ไปกับพื้นเสื้อก็จะไม่รั้งเปิดพุง  แม่ค้าแนะนำเป็นชุดบอดี้สูทแขนสั้นแขนยาวก็ตามสภาพอากาศค่ะ แต่ถ้าเป็นชุดบอดี้สูทแบบที่ต้องสวมทางศรีษะโดยเฉพาะเด็กวัย0-3 เดือนที่คอยังไม่แข๊งอาจต้องพิจารณาดูว่ามีกระดุมคอหรือไหล่เพื่อสามารถปลดออกให้คอกว้างเวลาสวมจะได้สะดวกไม่ขืน ส่วนชุดหมีที่สวมตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาก็จะเหมาะกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นหรือใส่นอนในห้องแอร์   หากคุณแม่ที่เพิ่งจะมีลูกคนแรกต้องเตรียมเสื้อผ้าให้น้องก่อนคลอดก็คงต้องดูว่าน้องจะคลอดในช่วงฤดูไหนนะคะ   อ้อลืมพูดถึงเรื่องความสะดวกของคุณแม่ค่ะสำหรับชุดแบบป้ายผูกถ้าเป็นเด็กทารกแบเบาะก็จะสะดวกในการผูกหน่อยแต่ถ้าเริ่มพลิกตัวไม่อยู่นิ่งก็ต้องปลุกปล้ำพอดูค่ะ ลองจำแนกให้ดูนะคะว่ามีอะไรบ้างคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะซื้อคละ ๆ กันไปค่ะ


ชุดผ้าป่านแบบป้ายผูกหน้า และแบบผูกหลัง
   สำหรับใส่หน้าร้อนใส่ได้ทั้งกลางวันและกลางคืนที่อากาศร้อนอบอ้าว

ชุดบอดี้สูทแขนกุด,แขนสั้น ,แขนยาว เลือกใส่ได้เหมาะกับสภาพอากาศค่ะถ้าอากาศร้อนจะใส่เป็นบอดี้สูทแขนกุด อากาศปกติก็เป็นแขนสั้นก็ได้หรือถ้าอากาศหนาวก็เป็นแขนยาว  ส่วนใหญ่ชุดบอดี้สูทจะออกแนวแฟชั่น ๆ น่ารัก ๆ จะเน้นใส่ออกนอกบ้านพาไปโชว์ตัวก็เหมาะค่ะ


ชุดคอตตอนแบบป้าย แขนสั้น แขนยาว + กางเกงขาสั้น ขายาว   เหมาะสำหรับใส่นอนในห้องแอร์หรือใส่อยู่กับบ้านในช่วงที่อากาศเย็นเลือกแขนสั้นหรือแขนยาวตามความเหมาะสมค่ะ


ชุดคอตตอน แขนกุด แขนสั้น แขนยาว + กางเกงขาสั้น  ขายาวเหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปเป็นชุดใส่สบายอยู่กับบ้านเลือกใส่ได้เหมาะกับสภาพอากาศค่ะถ้าอากาศร้อนก็ใส่เป็นแขนกุด ถ้าอากาศปกติจะใส่เป็นแขนสั้นก็ได้ค่ะเพราะส่วนใหญ่่ผ้าคอตตอนจะไม่หนา


ชุดสวย ชุดหล่อ หลังจากที่คุณแม่ได้เลือกเสื้อผ้าที่เน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลักให้เจ้าตัวเล็กใส่อยู่กับบ้านแล้ว เสื้อผ้าในหมวดหมู่ใส่สวย-ใส่หล่อก็ถือว่าเป็นเสื้อผ้าเด็กอ่อนอีกหมวดที่คุณพ่อคุณแม่มักพิจารณาเลือกซื้อไว้สำหรับเจ้าตัวน้อยเอาไว้ใส่ออกนอกบ้าน พาเดินเล่นโชว์ตัวหรือพาไปพบหมอฉีดวัคซีน เสื้อผ้าในหมวดนี้จะเน้นแฟชั่นสไตล์น่ารัก ๆ สีสันสดใสหลากหลายสไตล์ เช่น ชุดกระโปรง ชุดเอี๊ยม ชุดเสื้อพร้อมกางเกง หรือถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะมีชุดเสื้อยืด เสื้อคอปก ชุดสามชิ้นเป็นเสื้อกั๊ก ชุดเอี๊ยม เสื้อเชิ้ตเดี่ยว ๆ หรือจะเป็นกางเกงเดี่ยว ๆ เป็นต้นค่ะ
ลองนำไปพิจาณาประกอบการเลือกซื้อเสื้อผ้าให้คุณลูกดูนะคะ  

สำหรับคุณแม่ที่สงสัยเรื่องการเลือกไซส์เสื้อผ้าสำหรับเด็กอ่อนลองตามอ่านที่นี่ดูค่ะ การเลือกไซส์เสื้อผ้าเด็กอ่อน



บทความจาก : iambebebe 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : เสื้อผ้าเด็ก
หรือ  www.be-bebe.com  
VDO ตัวอย่างสินค้าที่ : เสื้อผ้าเด็ก

มาเลือกเสื้อผ้าเด็ก 4 แบบ



1. เลือกเสื้อผ้าเด็กที่สามารถใส่ได้หลากหลายโอกาส
             เสื้อผ้าเด็กบางชุดนั้น ถูกออกแบบมาด้วยแฟชั่นที่เหมาะกับการพาออกงาน เช่น เสื้อสูท ชุดราตรี ชุดนางฟ้า ฯลฯ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ที่จะซื้อชุดแนวนี้ให้ลูก ต้องจำให้ขึ้นใจว่า เด็กในวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายมาก มีการยืด ขยาย ร่างกายได้รวดเร็ว ดังนั้นหากมั่นใจว่าเสื้อผ้าที่ซื้อไปนั้น เราสามารถให้ลูกใส่ได้ทุกโอกาส ทั้งใส่ลำลองอยู่บ้าน หรือออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านในวันธรรมดา หรือจะออกไปงานกับพ่อแม่ก็ได้เช่นกัน แบบนี้ก็จะคุ้มค่ากว่าที่จะซื้อชุดที่ดูหรูหรา แต่ใส่เดินเล่นนอกบ้านแล้วดูแปลกๆ หรือถ้าใครจะให้ลูกใส่ชุดสูท ทักสิโด หรือชุดนางฟ้าไปเดินเล่นสนามหน้าบ้านทุกวัน หรือสัปดาห์ละครั้งได้ อันนี้ก็โอเคค่ะ ไม่ว่ากัน แต่หลายครอบครัวไม่เป็นอย่างนั้น เพราะบางครั้งจะให้ลูกใส่เสื้อผ้าเด็กชุดหล่อๆ สวยๆ อยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่กล้า สุดท้ายลูกโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ชุดหล่อชุดสวยที่เคยซื้อไว้ ลูกใส่ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็ต้องยกให้ลูกคนอื่น

             ในทางกลับกัน หากคุณพ่อคุณแม่ที่เลือกเสื้อผ้าแนวกลางๆ สามารถนำมาสับเปลี่ยนกับชุดอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเสื้อผ้า แบบนี้ก็จะทำให้คุ้มค่าและสามารถจับเจ้าตัวเล็กมาแต่งตัวได้หลายแนว หล่อ เท่ห์ ได้ทุกวัน คุ้มค่ากับค่าเสื้อผ้าแน่นอนค่ะ


2. เลือกผ้าฝ้าย (Cotton) เป็นผ้าหลักของเสื้อผ้าเด็ก
เมืองไทยเป็นเมืองร้อน เสื้อผ้าเด็กส่วนใหญ่จะทำมาจากผ้าฝ้าย (Cotton) อยู่แล้ว แต่เสื้อผ้าเด็กบางชนิดก็ทำมาจากผ้าฝ้ายผสมบ้าง ผ้าอื่นที่ไม่ใช่ผ้าฝ้ายบ้าง เหตุที่แนะนำให้ใช้ผ้าฝ้ายนั้น เนื่องจากว่า เด็กในช่วงอายุ 1-3 ขวบนั้นเขามักจะไม่ชอบอยู่เฉย รักการเล่น ยิ่งวิ่งไปวิ่งมา เหงื่อเต็มตัว แถมยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ระมัดระวังเรื่องความสกปรกต่างๆ อาจจะทำให้เสื้อผ้าเด็กชุดเก่งของเขาเปื้อนเอาง่ายๆ ซึ่งผ้าฝ้ายเมื่อนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าเด็กแล้วจะมีคุณสมบัติในการระบายความร้อน และทนทานต่อการซัก (หนักๆ) ได้ดี ปัญหาเรื่องเสื้อหด เสื้อผ้าย้วยเสียทรงไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าฝ้าย

             การระบายความร้อนเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเสื้อผ้าเด็ก โดยเฉพาะในประเทศไทย อากาศกลางวันจะร้อนมาก และยิ่งมีฝนตกด้วย การตากผ้าวันฝนตกถือเป็นเรื่องกลุ้มใจของพ่อแม่เลยทีเดียว หากเสื้อผ้าไม่สามารถระบายความร้อนระบายเหงื่อได้ดี และยังแห้งช้า จะเกิดปัญหาผ้าเหม็นอับ หรือเสื้อผ้ามีกลิ่น ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของลูกเลยค่ะ

3. อย่ายึดติดกับแบรนด์เนมในเสื้อผ้าเด็ก
         แน่นอนว่าเสื้อผ้าที่มีแบรนด์เนม พ่อแม่หลายคนอาจจะเชื่อว่ามันน่าจะมีคุณภาพดีกว่า ทนทานกว่า โดยอาจจะคิดอ้างอิงจากเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ที่เสื้อผ้าแบรนด์เนมมักจะมีคุณภาพความคงทนได้นานกว่าเสื้อผ้าตามตลาดนัดทั่วไป แต่เนื่องจากว่าเสื้อผ้าแบรนด์เนมนั้นโดยเฉพาะเสื้อผ้าเด็กจะมีราคาสูงมาก บางครั้งซื้อเสื้อเด็ก 1 ตัวของแบรนด์เนมในห้าง สามารถซื้อเสื้อผ้าเด็กตามร้านข้างนอกที่ใช้เนื้อผ้าดีๆ ได้ 2-3 ตัวเลยทีเดียว  เนื่องจากเด็กจะมีการขยายตัวเร็วกว่าผู้ใหญ่ การทุ่มทุนซื้อเสื้อผ้าเด็กที่เป็นแบรนด์เนมตัวนึงหลายร้อย หรือหลักพันบาทต่อชิ้นนั้น ดูจะเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร เพราะใส่ได้ไม่กี่ครั้งก็โตจนใส่ไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นชุดแฟชั่นออกงานด้วยยิ่งนานๆ ใส่ที เผลอๆ ซื้อมาได้ใส่จริงไม่ถึง 10 ครั้งก็โตจนใส่เสื้อผ้าไม่ได้แล้ว

            ดังนั้นควรจะให้ความสำคัญด้านเนื้อผ้าเป็นอันดับแรก ลำดับต่อมาคือลักษณะการตัดเย็บ และสุดท้ายคือแบบของเสื้อผ้า ส่วนจะมียี่ห้อดังหรือไม่นั้น อันนี้ก็แล้วแต่ความเหมาะสมกับฐานะเงินในกระเป๋าของคุณพ่อคุณแม่นะค่ะ

4. แต่งหล่อ แต่งสวย ให้ลูกตอนอยู่บ้านบ้างก็ได้
             กรณีที่พ่อแม่หลายคนเก็บเสื้อผ้าเด็กชุดหล่อชุดเก่งให้ลูกไว้ แต่ลืมหรือไม่เคยคิดจะให้ลูกแต่งหล่อแต่งสวยเวลาอยู่บ้านเฉยๆ ก็อาจจะพลาดโอกาสดีๆ ไปนะค่ะ เพราะความจริงแล้วคุณสามารถให้เจ้าตัวเล็กดูหล่อ เท่ห์ สวย แม้จะเป็นวันธรรมดาที่นอนเล่นอยู่บ้านก็ได้ หากสังเกตดูในแต่ละปีนั้นโอกาสที่เราจะพาเจ้าตัวเล็กออกงานจริงๆ นั้นคงมีน้อยมาก

               หากอยากได้ความคุ้มค่ากับเสื้อผ้าที่เสียไปแล้ว ก็ควรให้ลูกได้หล่อ ได้สวย แม้วันที่อยู่บ้านบ้างก็ไม่เป็นไร ลูกอาจจะซน เล่น ทำเสื้อผ้าเลอะบ้าง ก็อย่างเพิ่งดุหรือโกรธเขา คิดง่ายๆ ว่าเสื้อผ้าเด็กที่ซื้อมาแล้ว ถ้าเราไม่ให้เขาใส่ ก็คงไม่มีใครได้ใส่ (ยกเว้นจะเก็บส่งต่อเป็นมรกดให้น้อง) ไม่เหมือนเสื้อผ้าผู้ใหญ่ที่ถึงแม้เราจะไม่ใส่ในช่วงนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสได้ใส่ออกงานสังคมมากกว่าลูกแน่นอน



บทความจาก : iambebebe 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : เสื้อผ้าเด็ก
หรือ  www.be-bebe.com  
VDO ตัวอย่างสินค้าที่ : เสื้อผ้าเด็ก

ของเล่นแปลกประหลาด ผิดกฎหมาย แต่ขายได้

     ของเล่นที่แปลก ประหลาดที่นำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานมีหลายชนิด เช่น ตัวดูด ตัวอมน้ำ ซึ่งผลิตและนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ตัวดูดนี้เป็นตุ๊กตาตัวเล็ก เมื่อนำไปแช่น้ำแล้ว สามารถขยายได้มากกว่า ๒๐๐ เท่า และมีมากว่า ๒๐ ปีแล้ว ปรากฏอยู่ในตลาดเมืองไทย ตามแต่ความเข้มงวดของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้เคยทดสอบเจ้าตัวดูดน้ำพบว่า มีความคงทนต่อน้ำย่อย หมายถึง ไม่ถูกกัดกร่อนโดยน้ำย่อย แต่สามารถขยายตัวได้แม้อยู่ในน้ำย่อย หากเด็กกลืนลงกระเพาะอาหารและลำไส้ จะสามารถขยายตัวและอุดตันลำไส้ได้ หรือยิ่งร้ายกว่านั้น อาจสำลักเข้าสู่ˆหลอดลม อาจขยายทำให้เกิดการอุดตันหลอดลมและยากต่อ การนำออก เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้‰

ของเล่นเสียงดัง
"เสียงที่ระดับ ๘๕ เดซิเบล มีอันตรายเมื่อได้ยินติดต่อกันนานเกินกว่า ๘ ชั่วโมง 
เสียงที่ระดับ ๑๐๐ เดซิเบล หากได้ยินนานเกิน กว่า ๑๕ นาทีโดยไม่มีสิ่งป้องกันจะก่อให้เกิด
ความเสียหายต่อโสตประสาทได้ 
สำหรับเสียงที่ดังเกินกว่า ๑๓๐ เดซิเบล จะทำให้เกิดความเสียหายต่อโสตประสาท
ในเวลาเพียง ๒ นาที"Ž 

สำหรับเด็กนั้นเสียงที่ใกล้ตัวมากที่สุดคือเสียงของของเล่น
              ในปี พ.ศ.๒๕๒๘ Dr. Alf Axelson และ Thomas Jerson จากมหาวิทยาลัย Goetborg ในประเทศสวีเดน ได้เป็นคนแรกที่รายงานการศึกษาอันตรายจากของเล่นที่มีเสียง โดยได้ทำการวัดระดับเสียงของเล่นต่างๆ ที่ระยะห่าง ๑๐ เซนติเมตร พบว่าของเล่นประเภทกดบีบ (squeak toy) ทำให้เกิดเสียง ๗๘-๑๐๘ เดซิเบล ของเล่นเคลื่อนไหวได้ (เช่น รถ หุ่นยนต์) ทำให้เกิดเสียง ๘๒-๑๐๑ เดซิเบล 
ที่ระยะ ๕๐ เซนติเมตรของเล่นประเภทปืนยังสามารถสร้างเสียงได้ถึง ๑๕๓ เดซิเบล
ที่ระยะ ๓ เมตรประทัด ๕ ชนิดสามารถสร้างเสียงได้ถึง ๑๒๕-๑๕๖ เดซิเบล
การศึกษาของ Greg Noel นักวิจัยจากศูนย์-วิจัยการพูดและการได้ยิน Nova scotia ในประเทศแคนาดา พบว่าของเล่นเสียงดังหลายอย่างเป็นอันตรายต่อประสาทการได้ยิน Noel กล่าวว่า

"แม้ว่าของเล่นที่ก่อให้เกิดเสียงดังกว่า ๑๐๐ เดซิเบล จะถูกห้ามขายในตลาดประเทศแคนาดา แต่สถานการณ์นี้ก็ยังไม่น่าพอใจ ของเล่นถูกทดสอบอยู่ในสิ่งแวดล้อมของห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสภาพดังกล่าวไม่ใช่สภาพความเป็นจริง"Ž 

            ศูนย์วิจัยแห่งนี้ได้ทำการสำรวจเสียงที่เกิดจากของเล่นต่างๆ ทั้งประเภทเกมคอมพิวเตอร์ รถยนต์ ตุ๊กตากดบีบให้มีเสียง พบว่าของเล่นเหล่านี้ยังคงสามารถก่อให้เกิดเสียงดังกว่า ๑๐๖ เดซิเบล ซึ่งหากได้ยินเสียงนั้นนานๆ หรือได้รับซ้ำๆ ประสาทการได้ยินจะเสียหายได้เช่นกัน

            ในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า ๕ ขวบยิ่งมีความเสี่ยงสูง เพราะช่องหูของเด็กเหล่านี้ยังมีขนาดเล็กและกำลังเจริญเติบโต จะทำให้เสียงที่ผ่านเข้ามาเพิ่มขนาดได้สูงขึ้นถึงอีก ๓๐ เดซิเบล

            พฤติกรรมของเด็กในการเล่นมีความเสี่ยงสูงเช่นกัน Noel กล่าวว่า "เด็กชอบมากที่จะเอาของเล่นมาแนบกับหูตัวเองหรือหูเพื่อน และเปิดสวิตช์หรือกดบีบเพื่อให้ของเล่นของตัวเองมีเสียงดังเกิดขึ้น ซึ่งการกระทำนี้จะทำให้เกิดความชำรุดเสียหายของประสาทการได้ยินของพวกเขาได้"Ž
ผู้ดูแลเด็กควรต้องระวังอันตรายจากเสียงต่อเด็ก การศึกษาของเล่นบางชนิดพบระดับเสียงที่น่ากังวลใจ ของเล่นที่เด็กเล่นเป็นประจำสามารถทำให้เกิดเสียงที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ เช่น
ประเภทของเล่น

ระดับเสียง (เดซิเบล)

ของเล่นประเภทไซโลโฟน                                  ๑๒๙         ที่ระยะห่าง ๑ ฟุต
ของเล่นประเภทกลอง แตร กีตาร์                        ๑๒๒
กุ๊งกริ๊ง                                                                  ๑๑๐
เครื่องเป่า ทรัมเป็ต                                              ๙๕
ของเล่นประเภทโทรศัพท์                                    ๑๒๓-๑๒๙
ของเล่นที่มีการขยายเสียง                                   เกิดเสียงได้สูงถึง ๑๓๕
ของเล่นประเภทปืน                                              เกิดเสียงได้สูงถึง ๑๕๐

การป้องกัน
              ข้อแนะนำผู้ดูแลเด็กเพื่อป้องกันโสตประสาทเด็กคือ ต้องรู้จักเลือกของเล่นให้เด็กเหมาะสมตามวัย อย่าซื้อของเล่นเสียงดังให้ ถ้าไม่แน่ใจทำให้เกิดเสียงดังข้างๆ หูตัวเองว่าดังมากหรือน้อยเพียงใด สอนเด็กให้เล่นถูกวิธี ไม่ทำเสียงดังใส่หูกันและกัน ถ้าจำเป็นต้องปิดเทปที่หวีดเสียงในของเล่นบางชนิด หรือของเล่นที่เป็นสวิตช์บังคับเสียง ให้ล็อกสวิตช์เสียงไว้ไม่ให้สามารถขยายเสียงได้

             ในประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรมมีมาตรฐานควบคุมของเล่นเสียงดังไว้แล้ว โดยกำหนดว่าของเล่นที่มีเสียงดังแบบไม่ต่อเนื่อง แต่ละครั้งก่อเสียงไม่นานเกินกว่า ๑ วินาที ต้องมีระดับเสียงอยู่ที่ ๑๐๕-๑๑๐ เดซิเบล หากของเล่นก่อเสียงต่อเนื่องเกินกว่า ๑ วินาที ระดับเสียงถูกควบคุมไว้ที่ ๗๕-๘๕ เดซิเบล


              อย่างไรก็ตาม ของเล่นเหล่านี้ยังคงมีเกลื่อนตลาด ไม่มีการตรวจจับของเล่นที่ก่อเสียงเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง เด็กๆ ยังคงต้องตกอยู่ในความ เสี่ยงต่อไปทั้งๆ ที่มีกฎหมายรองรับแล้ว คงจะถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรท้องถิ่น และครอบครัว ต้องร่วมมือกันเป็นสามประสาน จัดการกับของเล่นที่ไม่มีมาตรฐานให้หมดไปจากตลาด
ของเล่นประเภทปืน เกิดเสียงได้สูงถึง ๑๕๐




บทความจาก : iambebebe 
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : www.be-bebe.com  
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ของเล่นเด็ก

เครื่องเล่นที่ปลอดภัย มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง

เครื่องเล่นที่ปลอดภัย มีหลักเกณฑ์เบื้องต้นดังนี้ 

 ของเล่นเด็ก

- อุปกรณ์เครื่องเล่นสนามต้องได้รับการออก แบบให้เหมาะสมกับอายุและพัฒนาการเด็ก โดยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ เด็กก่อนวัยเรียน (อายุ ๒-๕ ขวบ) และเด็กในวัยเรียน (อายุ ๕-๑๒ ขวบ)

- เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการตกและก่อ ให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงของศีรษะและสมอง ระยะความสูงจากพื้นสนามถึงพื้นยกระดับของเครื่องเล่นสนาม สำหรับเด็กก่อนวัยเรียนไม่ควรเกิน ๑.๒๐ เมตร และสำหรับเด็กวัยเรียนไม่ควรเกิน ๑.๕๐ เมตร

- ในกรณีเครื่องเล่นสำหรับวัยก่อนเรียน มีความสูงของพื้นยกระดับที่มีความสูงมากกว่า ๕๐ เซนติเมตร หรือเครื่องเล่นสำหรับเด็กวัยเรียนที่มีความสูงมากกว่า ๗๕ เซนติเมตร จะต้องมีราวกันตก หรือผนังกันตก

- การออกแบบบันได และราวบันไดชนิดต่างๆ ต้องคำนึงถึงระยะก้าว ระยะโหน การกำมือเพื่อยึดเหนี่ยวของเด็กในวัยต่างๆ

- เพื่อป้องกันศีรษะติดและกดการหายใจ ช่องต่างๆ ต้องเล็กเกินกว่าศีรษะจะลอดเข้าไปได้ หรือใหญ่พอที่ศีรษะไม่เข้าไปติดค้าง คือช่องต้องมีขนาดน้อยกว่า ๙ เซนติเมตร หรือมากกว่า ๒๓ เซนติเมตร

- เพื่อป้องกันเท้าหรือขาเข้าไปติด พื้นที่เดินหรือวิ่งจะต้องมีช่องว่างไม่เกิน ๓ เซนติเมตร เพื่อไม่ให้ เท้าหรือขาเข้าไปติด

- เพื่อป้องกันนิ้วเข้าไปติด โดยการแหย่หรือลอด จะต้องไม่มีช่องว่างที่อยู่ขนาด ๐.๕ เซนติเมตร ถึง ๑.๒ เซนติเมตร

- เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการชนกระแทก อุปกรณ์เคลื่อนไหวเช่น ชิงช้า ที่นั่งต้องทำด้วยวัสดุที่ไม่แข็ง

- นอต-สกรูที่ใช้ในการยึดเครื่องเล่นสนาม จะเป็นระบบกันคลาย ต้องออกแบบให้ซ่อนหัวนอต หรือปลายตัดหัวมนที่มีส่วนยื่นไม่เกิน ๘ มิลลิเมตร

- วัสดุที่ใช้ต้องไม่เป็นพิษและมีสารโลหะหนักเจือปนไม่เกินกว่าค่ามาตรฐานในของเล่น


บทความจาก : iambebebe 
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : www.be-bebe.com  
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ของเล่นเด็ก

การเล่นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็ก

"การเล่นเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของพัฒนาการในวัยเด็ก 
ผู้ใหญ่ต้อง เข้าใจและเห็นคุณค่าการเล่นของเด็ก"Ž 

             การเล่นของเล่นที่ให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน กระตุ้นการเรียนรู้ ค้นคว้า ท้าทาย จะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเด็ก กระตุ้นให้เด็กมีพฤติกรรมรักการเรียนรู้ด้วยตนเอง การแสวงหาประสบการณ์ใหม่ การค้นคว้า ทดลอง 

              กระบวนการเล่นของเล่นเป็นกระบวนการที่กระตุ้นระบบ ประสาทสัมผัสทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส การมอง การได้ยิน กระบวนการเล่นยังมีผลอย่างมากต่อ พัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก และการประสานงานของกล้ามเนื้อเหล่านั้น นอกจากนั้นการเล่นยังช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางภาษา การสื่อสารกระบวนการเล่นยังสร้างความคิดสร้างสรรค์แก่ เด็ก (creative play) ฝึกการแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล (cognitive play) ตอบสนองต่อจินตนาการในวัยเด็ก (imaginative play) นอกจากนั้นการเล่นของเล่นยังทำให้เด็กผ่อนคลาย ลดความเครียด เด็กสามารถระบายความ เครียดที่อยู่ใต้จิตสำนึกที่ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้ โดยใช้การเล่นแบบจินตนาการ หรือแบบบทบาทสมมุติ (role play) ตัวอย่างเช่นเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีความรุนแรง เด็กที่สูญเสียคนที่รัก หรือเด็กที่ตกอยู่ในสถานการณ์น่ากลัวรุนแรงต่างๆ 

             ของเล่นเป็นเครื่องมือในการเล่นของเด็กของเล่นคือเครื่องมือที่จะนำเด็กไปสู่กระบวน การเล่นของเล่นมีหลายชนิด สามารถแบ่งออกได้ตามวัตถุประสงค์ของการเล่น เช่น ของเล่นเพื่อการพัฒนากล้ามเนื้อ ของเล่นเพื่อสร้างความคิด เป็นต้น 

            ของเล่นที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นของแพง แต่จะต้องเป็นของเล่นที่ปลอดภัย เหมาะสมกับอายุเด็ก และมีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการกระตุ้นพัฒนาการเด็กด้านใดด้านหนึ่ง ตัวอย่างของเล่น เช่น ตุ๊กตา รถจำลอง เครื่องดนตรีจำลอง เครื่องกีฬา เครื่องมือศิลปะ เกมต่างๆ หรือแม้แต่ทราย ก็จัดเป็นของเล่นของเด็กๆ ได้


บทความจาก : iambebebe 
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : www.be-bebe.com  
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ของเล่นเด็ก

ของเล่น...อาจจะอันตรายกับเด็ก

อันตรายจากของเล่น
          ผลการวิจัยในเรื่องอุบัติเหตุในเด็กของโครง-การวิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก ภาควิชา กุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กต้องบาดเจ็บ มารับการตรวจรักษาในห้องฉุกเฉินคือการพลัดตกหกล้ม การจราจร บาดเจ็บจากการถูกทิ่มแทง บาด การบาดเจ็บจากการถูกกระแทกชน การบาดเจ็บจากสัตว์กัด และการบาดเจ็บจากความร้อนกลุ่มเสี่ยงที่เกิดการบาดเจ็บในเด็กส่วนใหญ่เป็น กลุ่มเด็กอายุน้อยกว่า ๕ ขวบ ร้อยละ ๔๕ ของการบาดเจ็บในเด็กเกิดขึ้นที่บ้าน ร้อยละ ๒๓ เกิดบน ถนน และร้อยละ ๑๘ เกิดที่โรงเรียน

ผลิตภัณฑ์อันตรายที่พบว่าเป็นสาเหตุของการบาดเจ็บได้บ่อย คือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างบ้านและเฟอร์นิเจอร์หลัก ยานพาหนะ สัตว์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข) และของเล่น 

         ในบรรดาการบาดเจ็บที่เกิดจากของเล่นพบว่า การบาดเจ็บที่รุนแรง มักเกิดจากเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น ของเล่นที่ใช้ยิง (เช่น ปืนอัดลม ปืนลูกดอก) ของเล่นที่ทำให้เคลื่อนที่ได้เร็ว (เช่น รถหัด เดิน จักรยาน) ของเล่นทารก (เช่น กุ๊งกริ๊ง) ของเล่นชิ้นเล็กที่อาจทำให้เกิดการอุดตันทางเดินหายใจเด็ก ของเล่นมีสายยาวซึ่งอาจรัดพันคอเด็ก และของเล่นมีคมทั้งหลาย เป็นต้น

อันตรายจากเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น
           จากการศึกษาของโครงการวิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก พบว่าการบาดเจ็บจากเครื่องเล่นต่างๆ ในสนามเด็กเล่นคิดเป็นร้อยละ ๑.๔๗ ของการบาดเจ็บทั้งหมดในเด็กอายุน้อยกว่า ๑๕ ปีที่มารับการตรวจที่ห้องฉุกเฉิน เมื่อประมาณการทั้งประเทศคาดว่าจะมีเด็กบาดเจ็บจากเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นปีละ ๓๔,๐๗๕ ราย การบาดเจ็บชนิดนี้มักเกิดขึ้นในเด็กอายุ ๕-๑๒ ขวบ สาเหตุร้อยละ ๔๔ เกิดจากกระดานลื่น ร้อยละ ๓๓ เกิดจากชิงช้า นอกจากนั้นเกิดจากเครื่องปีนป่าย ม้าหมุน และอื่นๆ 

             การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นการบาดเจ็บ ของแขนขา ใบหน้า และศีรษะ การบาดเจ็บที่รุนแรงที่พบบ่อยคือกระดูกหักของแขนหรือข้อมือและการบาดเจ็บศีรษะสถานที่ที่เกิดการบาดเจ็บมักเกิดในบริเวณโรงเรียน หมู่บ้านหรือในเขตชุมชนที่เด็กอาศัยอยู่ บางครั้งเกิดในสนามเด็กเล่นในสวนสาธารณะในปี พ.ศ.๒๕๔๕-๒๕๔๗ มีการรายงานการเสียชีวิตของเด็ก ๖ รายในโรงเรียนในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น เป็น การตายจากชิงช้าล้มทับศีรษะ ๔ ราย เครื่องเล่น ปีนป่ายล้มทับ ๑ ราย และลูกโลกซึ่งเป็นเครื่องเล่นชนิดหมุนล้มทับเกิดการบาดเจ็บช่องท้อง เสียชีวิต ๑ ราย ทั้ง ๖ รายพบว่าเครื่องเล่นไม่ได้รับการยึดติดฐานรากพื้นสนามแข็งไม่ดูดซับพลังงาน ผู้เล่นไม่เล่นตามวิธีที่ควรจะปฏิบัติ และไม่มีผู้ดูแลขณะเล่น

การป้องกันการบาดเจ็บจากเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น 
             จะต้องประกอบด้วยเครื่องเล่นที่ปลอดภัย พื้นสนามที่ดูดซับพลังงานได้ดี การติดตั้งที่ ถูกวิธีไม่ล้มทับเด็ก การทะนุบำรุง และการฝึกอบรมผู้ติดตั้งและผู้ดูแลเด็กขณะเล่น 

ฉนั้นแล้วรู้จัก คุณและโทษจากของเล่นเด็กแล้ว เรานะนำว่าควรหาซื้อของเล่นเด็กจาก บี เบบี้ ดีกว่า เพราะเขาคำนึงถึงการเล่นของเด็กมาเรียบร้อยแล้ว ปลอดภัยต่อเด็กแน่นอน


บทความจาก : iambebebe 
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : www.be-bebe.com  
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ของเล่นเด็ก

ชุดคลุมท้อง แฟชั่นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายคุณแม่อยากสวย

                     แฟชั่นเสื้อผ้า  เครื่องแต่งกายสำหรับสาวสาวๆ ที่กำลังตั้งครรภ์และกำลังจะเป็นคุณแม่คนใหม่ในอีก 9 เดือนข้างหน้า โดย ณ ตอนนี้ ไม่ว่าจะคุณออกไปทำงาน working mom หรือคุณจะเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านก็ตาม ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องหาซื้อ ชุดคลุมท้อง เสื้อคลุมท้อง กางเกงคนท้อง มาสวมใส่ระหว่างที่คุณตั้งครรภ์อย่างแน่นอน แต่ถ้าพูดถึง เสื้อผ้าสำหรับคนท้องในอดีต เมื่อนึกภาพถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหญิงตั้งครรภ์แล้ว คนส่วนใหญ่มักจินตนาการภาพสาวพุงโตใส่ชุดคลุมท้องกระโปรงยาวตัวใหญ่ หรือกางเกงกับเสื้อตัวใหญ่ ดูเชยไม่น่าสวมใส่ซะเหลือเกินใช่ไหมล่า และยิ่งคุณเป็นคนรักในการแต่งตัวด้วยแล้วนั้น ก็คงไม่ว่าท่านไหนอยากจะใส่สวมชุดคลุมท้อง สักเท่าไหร่  แต่ปัจจุบันแฟชั่นชุดคลุมท้อง ราคาถูก หรือชุดคลุมท้องแบรนด์นอกราคาแพง ไม่ว่าจะเป็น ที่ดคลุมท้อง เสื้อผ้าคนท้อง กางเกงคนท้อง ชุดเอี๊ยมคลุมท้อง ชุดชั้นในคนท้อง ตัดเย็บสำหรับคนท้องโดยเฉพาะ มีให้เลือกซื้อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ทำให้คุณแม่สวมใส่สบายไม่อึดอัด ดีไซน์ทันสมัย เทรนด์เกาหลี ญี่ปุ่น เอเซีย ยุโยป อเมริกา การตัดเย็บออกแบบที่ดี แฟชั่นคนท้อง แฟชั่นชุดคลุมท้อง ทำให้ถูกใจคุณแม่ตั้งครรภ์ได้มีความสุขกับการแต่งตัวอย่างแน่นอน ลองคลิกไปดูกันก่อนที่ ของใช้คุณแม่ ผลิตภัณฑ์คุณแม่ตั้งครรภ์ หรือเข้าไปที่ www.be-bebe.com



บทความจาก : iambebebe 
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : www.be-bebe.com  

ไอเดียเก๋ๆ แต่งห้องลูกน้อยถูกใจ

          วันนี้มาชวนคุณพ่อคุณแม่มาดูไอเดียเก๋ๆ เทรนด์จากเกาหลีเอาไว้แต่งห้องนอนให้ลูกน้อย โดยให้ถูกใจทั้งคุณหนูและพ่อแม่ด้วยสติ๊กเกอร์ติดผนังติดซ้ำได้ และ สติ๊กเกอร์ติดผนังติดซ้ำไม่ได้ ที่เหมาะสำหรับติดตกแต่งบ้านให้สวยงามได้ เป็นสติ๊กเกอร์ติดผนังลายน่ารักๆ มีลวดลายให้เลือกซื้อมากมาย เราสามารถติดตั้งสติ๊กเกอร์ได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ติดได้ทั้งผนังห้องนอน ผนังกระจก ผนังปูน กระเบื้อง พื้นผิวสัมผัสที่เรียบ หรือใช้สติ๊กเกอร์ตกแต่งผนังบ้านได้ทุกๆห้องตามใจ ช่วยเพิ่มสีสันภายในห้องนอนคุณลูกหรือคุณพ่อคุณแม่จะนำไปตกแต่งห้องนอน ห้องครัวห้องน้ำ หรือห้องนั่งเล่น เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศภายในบ้านก็ได้นะคะ หลายๆ บ้านที่ไม่มีวอลเปเปอร์ติดอยู่แนะนำให้ลองจับจองกันไปติดดูได้เลยคะ ลองนำไอเดียสติ๊กเกอร์ตกแต่งบ้านไปทำดูนะคะ 






 


             สนใจสินค้าคลิกไปที่ : www.be-bebe.com หรือจะเข้าไปที่ : อุปกรณ์ตกแต่งห้องเด็ก และสติกเกอร์ติดผนังห้องเด็ก



บทความจาก : iambebebe 
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : www.be-bebe.com  

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทอดให้ดี... ต่อชีวีให้ยาว...




►ทอดให้ดี... ต่อชีวีให้ยาว... ◄

#น้ำมันพืชชนิดใดเหมาะกับการปรุงอาหาร
การทอดอาหาร ไม่ควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันทานตะวัน ข้าวโพด ถั่วเหลือง รำข้าว เพราะที่จุดเดือด 180 °C จะเกิดสารพิษหลายชนิดติดหนึบในลำไส้เล็ก เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยสะสม ควรใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว เพราะโครงสร้างเคมีไม่เปลี่ยนเมื่อโดนความร้อนสูงจึงไม่เกิดสารพิษ ส่วนน้ำมันปาล์มแม้เป็นไขมันอิ่มตัวสูงแต่ผ่านการฟอกและขจัดกลิ่นจึงมีสารพิษเมื่อทอดเช่นกัน

นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 25 ฉบับที่ 291 ประจำเดือน ก.ค. 2546 ลงบทความ "น้ำมันพืชใช้อย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย" แนะนำว่า การผัดอาหารควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงเช่น น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว แต่หากจะทอดอาหารแล้วควรใช้น้ำมันพืชหรือสัตว์ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะการทอดใช้ความร้อนสูง และจุดเดือดน้ำมันพืชประมาณ 180 องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆว่า โพลาร์คอมเพาวด์ (Polar Compound) สารเคมีชนิดนี้ข้าพเจ้าเคยพบด้วยกลิ่นที่ทำให้แสบจมูก มีพ่อค้าทอดขนมกู๋ไช่คนหนึ่ง มีอาการตาพร่ามัวจึงไปพบจักษุแพทย์ และได้รับคำแนะนำให้เลิกอาชีพขายอาหารทอดอาหารผัดอย่างถาวร มิฉะนั้น จะตาบอดได้

ทำไมน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อย่างน้ำมันหมู
และน้ำมันมะพร้าว จึงเหมาะแก่การทอด?

คำตอบก็คือ น้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นน้ำมันที่มี กรดไขมันอิ่มตัวสูง (น้ำมันหมู 40% น้ำมันมะพร้าว 88%) มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่จับกับธาตุคาร์บอน (C) ในลักษณะแขนเดี่ยว (single bond) เมื่อโดนความร้อนสูง ก็ทำให้อาหารกรอบ อร่อย ไม่มีสารเคมีเป็นพิษ และน้ำมันที่ใช้ทอดแล้วก็เก็บไว้ทอดซ้ำเกิน 2 ครั้งไม่ได้เพราะจะดำและเหม็นหืน ซึ่งผิดกับน้ำมันพืชอื่นๆ ซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งมีโครงสร้างเคมีเป็นแขนคู่ (double bond) ในการจับกับธาตุคาร์บอน จึงสามารถจับกับ ธาตุไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก 2 อะตอม จึงเหมาะกับการเติมไฮโดรเจน ( Hydrogenation) ซึ่งเรียกว่า Trans Fatty Acid (TFA)

'Trans Fat' นี้เป็นผลลัพธ์ของความพยายามที่จะทำให้น้ำมันพืช มีลักษณะเหมือนน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ที่ทำให้อาหารทอด กรอบอร่อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม เพราะน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี เหล่านี้ไม่สามารถขับออกจากร่างกาย ได้ง่ายๆ เหมือนน้ำมันมะพร้าวที่ละลายน้ำได้

บางคนที่เป็นปู่ย่าตายายในขณะนี้ (อายุ 70 ปีขึ้นไป) จะบอกกล่าวว่า พ่อแม่ของท่านใช้น้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว ทำอาหาร และท่านก็มีอายุถึง 90 ปีกว่าก่อนเสียชีวิต ไม่ได้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเลย แต่ก็มีอายุยืนยาวได้ ในทางกลับกัน คนไทยในสมัยนี้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมานานกว่า 30 ปี กลายเป็นโรคเบาหวานกันทั่วประเทศทุกหมู่บ้าน เด็กๆ ก็กลายเป็นโรคอ้วน เบาหวานในเด็ก ก็ลุกลามใหญ่โต จนในปีนี้องค์การเบาหวานโลก ได้เน้นการรณรงค์เบาหวานในวัยรุ่น ปีหนึ่งๆ จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นในโลก ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน

สารเคมีที่กินเข้าไปคือ polar compound ยังไม่มีใครประกาศออกมาเลยว่ามีผลร้ายอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือ มันหนืดเมื่อโดนความร้อนสูง และติดหนึบหนับในลำไส้เล็กของเรา จนทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารที่ละลายน้ำเช่น กรดอะมิโน วิตามินบี ซี เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยต่างๆโดยเฉพาะ การเจ็บป่วยแบบสะสม ค่อยเป็นค่อยไปซึ่งยากต่อการสังเกตเห็น

บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมบทความนี้ เชียร์แต่น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวเอง น้ำมันปาล์ม ก็มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 48% ไม่เหมาะกับการทอดหรืออย่างไร ? จริงๆ แล้วก็เหมาะสม ถ้าผ่านการหีบเย็น แต่น้ำมันปาล์มที่ขายอยู่นั้นผ่านกรรมวิธี refined, bleached, deodorized จึงมี polar compound เมื่อทอด

น้ำมันพืชที่ได้จากการสกัดแบบธรรมชาติ คือ หีบเย็น (Cold press) หรือ การบีบคั้นโดยไม่ใช้ความร้อน ส่วนใหญ่แล้วดี มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เมื่อเอาไปดัดแปลงทางเคมี เติมไฮโดรเจนเข้าไปก็เลยเป็นโทษ น้ำมันพืชที่หีบเย็นถ้านำมากิน โดยไม่ผ่านการผัด การทอดก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สปาหลายแห่งจึงนำไปใช้เสริมสวย บำรุงผิวให้ลูกค้า

นิตยสาร 'เกษตรกรรมธรรมชาติ' ฉบับ 2/2548 บทความพิเศษ "น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ" โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา กล่าวไว้ว่า "น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันพืชที่ ประเทศต่างๆ ในเอเชียและแปซิฟิกใช้เป็นแหล่งพลังงาน และการหุงหาอาหารมาช้านานโดยไม่ปรากฏอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2521 ประเทศ ศรีลังกา เป็นเทศที่ใช้น้ำมันมะพร้าวมากที่สุดประเทศหนึ่ง มีอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ อุดตันเพียง 1 ในแสนคน เปรียบเทียบกับ 187 ในแสนคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้น้ำมันมะพร้าว"

ดร.ณรงค์ยังกล่าวด้วยว่า "น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เนื้อมะพร้าว กับน้ำมะพร้าวลดระดับโคเลสเตอรอลอย่างมีนัยสำคัญ น้ำมันมะพร้าวเพิ่มปริมาณของ High density lipoprotein (HDL) ได้มากกว่าน้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะพร้าวไม่เพิ่มอัตราส่วนของ LDL ต่อ HDL ในขณะที่ไปลดระดับของไตรกลีเซอไรด์"

ข้าพเจ้าคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย แม้ว่าท่านทั้งหลาย จะไม่ได้บันทึกการทดลองทางเคมี ชีวะ ไว้ให้เราศึกษา แต่อย่าลืมว่าท่านได้ใช้ร่างกายของท่าน ทดลองเพื่อพวกเรามานานแสนนานแล้ว

ข้าพเจ้าได้คัดลอกความเห็นตอบกระทู้ของ ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา มาเพื่อท่านจะได้อ่านสะดวกดังนี้ :

คนไทยใช้กะทิประกอบอาหารหวานคาวมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยไม่ปรากฎว่ามีใครเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน จนกระทั่งเราเปลี่ยนมาบรโภคนำมันไม่อิ่มตัว กะทิกับน้ำมันมะพร้าว เป็นสารตัวเดียวกัน แต่อยู่ในรูปต่างกัน มีข้อดีคือ
1.มีความอิ่มตัว ทำให้ออกซิเจน และไฮโดรเจนเข้าแทรกไม่ได้ จึงไม่เกิด trans fat และไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งและทำอันตรายต่อเซลในร่างกาย

2.เป็นโมเลกุลขนาดกลาง จึงเคลื่อนย้ายในร่างกายได้รวดเร็ว จากกระเพาะไปลำไส้ และเข้าไปเปลี่ยนเป็นพลังงานในตับ จึงไม่สะสมเป็นไขมัน ดังเช่นน้ำมันไม่อิ่มตัว

3.มีภูมิคุ้มกันเกิดจากกรดลอริก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับนมแม่ที่ช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันโรค อีกทั้งยังทำลายเชื้อโรคแทบทุกชนิดได้

4.มีวิตามินอี ที่มีอานุภาพช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายเซลล์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และโรคแห่งความเสื่อมอีกหลายโรค
มีประจักษพยานมากมายจากชนชาติที่บริโภคกะทิ และน้ำมันมะพร้าวมาเป็นเวลานับพันปี โดยไม่มีผู้ใดเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ จนกระทั่งพวกเราหันไปบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว ภูมิปัญญาของคนไทยคือการใช้กะทิในอาหารไทย ช่วยให้ปลอดโรค ร่างกายแข็งแรง และไม่อ้วน

เกือบ 30 ปีมาแล้วที่เราถูกเขาหลอกให้บริโภค น้ำมันไม่อิ่มตัว เพราะผลประโยชน์อันมหาศาล แต่ได้ทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าวและกะทิของเรา รวมทั้งรายได้ของชาวสวนมะพร้าว ตลอดจนต้องเสียเงินอีกมาก ในการสั่งซื้อน้ำมันไม่อิ่มตัวเข้ามาบริโภค และในการรักษาโรคที่เกิดจากการบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว ถึงเวลาแล้วที่เราจำต้องตอบโต้ กับการปรักปรำกะทิและน้ำมันมะพร้าว และรณรงค์ให้คนไทยหันกลับมาบริโภคกะทิ ดังที่บรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติมาเป็นแล้วช้านาน

สำหรับประเด็นที่น่าสนใจนำมาวิเคราะห์คือ น้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหารกันอยู่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ มีpolar compoundอยู่ในน้ำมันพืชก่อนทอดจริงหรือไม่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวและกะทิมีประโยชน์หรือไม่ ควรเลิกใช้น้ำมันพืชแล้วกลับไปใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวดีหรือไม่ ไขมันอิ่มตัวเป็นประโยชน์หรือให้โทษกันแน่ เรื่องคุณประโยชน์และโทษของน้ำมันชนิดต่างๆนี้มีความสับสนอยู่มาก แม้ในหมู่นักวิชาการหรือแพทย์ก็ตาม บ้างก็ว่าน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มมีโทษ บ้างก็ว่ามีประโยชน์
ดังนั้นการที่จะดูว่าน้ำมันปรุงอาหารชนิดใดดีหรือไม่นั้นจึงควรดูจากส่วนประกอบต่างและคุณสมบัติของน้ำมันแต่ละชนิด เช่น ในน้ำมันจากทั้งพืชและสัตว์จะมีกรดไขมันทั้งชนิดอิ่มตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัว แต่ในน้ำมันจากสัตว์จะมี cholesterol อยู่ด้วย ส่วนในพืชไม่มีcholesterol หรือมีก็น้อยมาก

กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) มีมากในน้ำมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมูซึ่งโครงสร้างของไขมันจะเป็นแบบมีแถบคาร์บอนยาว มีคาร์บอนอยู่ 16-18 ตัว( long chain carbon) ต่างกับกรดไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม (มีเฉพาะใน palm kernel oilซึ่งสกัดมาจากเมล็ดปาล์ม ส่วน palm oil และ palm oleinซึ่งสกัดมาจากเนื้อปาล์ม ไม่มี) ซึ่งโครงสร้างเป็นแบบมีแถบคาร์บอนยาวปานกลาง มีคาร์บอนอยู่ 10 - 12 ตัว ( medium chain carbon) ซึ่งอยู่ในรูปของกรด lauric ความแตกต่างของน้ำมันในเรื่องความยาวของสายคาร์บอนนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งจะได้กล่าวต่อไป กรดไขมันอิ่มตัวจะมีจุดเดือดของน้ำมันสูงกว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) มีอยู่ 2 ชนิดคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว(Mono unsaturated)ในรูปของ กรด oleic และกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (poly unsaturated )ในรูปของกรด linoleic (โอเมก้า6) และในรูปของกรด alpha linolenic (โอเมก้า 3) กรดไขมันไม่อิ่มตัวทุกชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 มากเกินไปก็จะเกิดโทษ (ดูเรื่องโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6)
กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acid, MUFA) เป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีความคงตัวสูง ทำปฏิกริยากับออกซิเจนในอากาศน้อย เกิดสารอนุมูลอิสระไม่มาก ไม่ใคร่เหม็นหืน ทนความร้อนได้สูง เหมาะใช้ปรุงอาหารประเภททอดหรือผัดที่ใช้เวลานาน ๆ

กรดไขมันชนิดนี้ตัวอย่าง เช่น โอเลอิก (Oleic acid ) ซึ่งพบมากในน้ำมันพืชต่อไปนี้ คือ มะกอก, คาโนลา, ถั่วลิสง, งา ปาล์มโอเลอิน (สกัดจากเนื้อปาล์ม มิใช่เมล็ดปาล์ม), ดอกคำฝอยแปลง และเมล็ดทานตะวันแปลง MUFA นี้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล ลด LDL-C และเพิ่ม HDL-C ป้องกันเส้นเลือดตีบได้
กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง หรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Poly unsaturated (linoleic -โอเมก้า6 และ alpha linolenic-โอเมก้า 3) เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง พบได้ในน้ำมัน safflower น้ำมันงา น้ำมันข้าวโพด น้ำมันฝ้าย และน้ำมันถั่วเหลือง ไขมันชนิดนี้ลดระดับ LDL เช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากมากไปก็จะไปลดระดับ HDL ด้วย

#ทำไมต้องเลือกชนิดน้ำมันสำหรับทอด หรือ ผัด

คุณสมบัติของน้ำมันนั้นขึ้นอยู่กับความอิ่มตัว และความยาวของโมเลกุล
น้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูง จะมีคุณสมบัติคงสภาพและทนต่อความร้อนได้ดี เมื่อโดนความร้อน หรือความร้อนสูงที่ใช้ในการทอด โมเลกุลก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากไม่ยอมให้ ไฮโดรเจน หรือออกซิเจน เข้าไปจับตัวเพิ่ม (ขบวนการ OXIDATION ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ)

น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว เนื่องจากแขนของโมเลกุลยังมีช่องว่างอยู่ ไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน จึงเข้าไปจับตัวได้ง่าย เกิดการ OXIDATION เกิดเป็นอนุมูลอิสระ และทำให้น้ำมันเสียได้เร็ว
สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเสียมีอยู่ 5 วิธี
1. แสงสว่าง
2. ความร้อน
3. ออกซิเจน
4. ไฮโดรจิเนต (การเติมไฮโดรเจนเข้าไป เพื่อเปลี่ยนจากไขมันไม่อิ่มตัวเป็นอิ่มตัว ไขมันชนิดนี้อันตรายต่อสุขภาพมาก เรียกว่า TRANS FAT)
5. โฮโมจิไนซ์ การทำให้ไขมันแตกตัว

ในขบวนการผลิตน้ำมันผ่านกรรมวิธี โมเลกุลของน้ำมันได้ถูกรบกวนและเกิดเป็นอนุมูลอิสระไปแล้วในระดับหนึ่ง และถ้านำมาใช้ซ้ำอีกขบวนการเกิด TRANS FAT จะเกิดขึ้นได้สูงมาก

ปัจจุบันคนไทยมีความรู้สึกที่ดีมากกับน้ำมันมะกอก (VIRGIN OLIVE OIL) ให้ค่านิยมว่าเป็นน้ำมันสุขภาพ และนำมาใช้ปรุงอาหารทุกชนิดในครัว

ถึงแม้ว่าน้ำมันมะกอกจะมีกรดโอเลอิกที่มีประโยชน์มากต่อร่างกาย แต่กลับมีปริมาณไขมันอิ่มตัวเพียง 14% ปริมาณไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง 77% และปริมาณไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง 9% ด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้น้ำมันมะกอกไม่มีความคงทนต่อความร้อน จึงควรใช้ประกอบอาหาร เช่น น้ำสลัด หรือ การผัดอาหารที่ใช้น้ำมันไม่มาก และไม่ใช้ความร้อนสูง

ดังนั้นถ้าต้องการทอดอาหารหรือปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนสูง อย่างสบายใจจึงควรใช้น้ำมันที่ผลิตโดยวิธีบีบเย็น (COLD PRESSED) และมีความอิ่มตัวสูงเท่านั้น เนื่องจากมีคุณสมบัติทนต่ออากาศ แสง และความร้อนได้ดี ส่วนน้ำมันพืช COLD PRESSED ชนิดอื่นๆ เมื่อเปิดใช้แล้วควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันการเกิด OXIDATION จากอากาศและแสง

#ข้อมูลอ้างอิงจาก :
บทความจากสถาบันวิจัยโรคเรื้อรัง (CDRI)
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 25 ฉบับที่ 291 ประจำเดือน ก.ค. 2546 ลงบทความ
"น้ำมันพืชใช้อย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย"
นิตยสาร 'เกษตรกรรมธรรมชาติ' ฉบับ 2/2548 บทความพิเศษ
"น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ" โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา
ข้อมูลจาก "บ้านมหา ดอทคอม"

บทความจาก : iambebebe 
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : Healthie Tastie จาก บริษัท บี เบบี้ จำกัด

ไขความลับ....หัวใจคุณหมอ



ไขความลับ... หัวใจหมอ... ไม่ต้องใช้ยา... ไม่ต้องผ่าตัด...
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เมื่อหมอผ่าตัดหัวใจ เป็นโรคหัวใจเอง !!! 
หันมาปฏิวัติตนเอง ปรับอาหารการกิน ปรับวิถีชีวิต...
จนหายจากโรคร้าย !!!

“วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำกันอยู่นี้มัน...ไม่เวอร์ค”

มาถึงตรงนี้โรคหลอดเลือดหัวใจนั้นชัดแล้วว่ามันหายได้ด้วย... การกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด แล้วความดันเลือดสูงล่ะ ผมได้ค้นคว้าต่อไปอีก ก็พบว่ามีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาทำไว้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน...

ผมศึกษางานวิจัยถึงการปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือดและลดการเป็นโรค เริ่มต้นผมก็มาสะดุดที่งานวิจัยขนาดใหญ่ของฮาร์วาร์ดอันนี้ ในงานวิจัยนี้ ฮาร์วาร์ดตามดูคนแปดหมื่นกว่าคนนาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหนทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด...

...พูดง่ายๆว่าเป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้ายของไขมันชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้ผมมีความเข้าใจว่าน้ำมันหมู น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด แต่พอมาศึกษางานวิจัยนี้จึงรู้ว่าเข้าใจชีวิตผิดไปแล้ว...

ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือ ไขมันทรานส์ ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ชั่วร้ายกว่า น้ำมันหมู น้ำมันวัว ที่ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรต 10% กว่าเท่านั้น คือ สรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า...

...ไขมันทรานส์นี่มันอะไรกันวะ…นักอุตสาหกรรมเอาน้ำมันพืชมา แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้ น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่า ไขมันทรานส์... แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้ เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรม เช่น เนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เหล่านี้แหละคือ ไขมันทรานส์...

•สวัสดีครับ...
ผม สันต์ ใจยอดศิลป์ นะครับ...
ผมจะเล่าที่มาที่ไปให้ฟังนะครับ คือตัวผมนี้ความจริงเป็นหมอหัวใจ หรือพูดให้ชัดกว่านั้นอีกหน่อยก็คือเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ ความชำนาญของผมก็คือผ่าตัดแก้ไขหลอดเลือดหัวใจตีบหรือที่เรียกว่าผ่าตัดบายพาส การใช้ชีวิตในวัยทำงานของผมก็ค่อนข้างใช้แบบสำบุกสำบันเหมือนกับหลายท่านในนี้ซึ่งผ่านวันเวลาแบบนั้นมาหมาดๆ คือทำงานมาก มากเกินไป...

กลับถึงบ้านก็ใกล้เที่ยงคืนไปแล้ว ลูกเมียเขาหลับกันหมดแล้ว ผมต้องไปค้นตู้เย็นหาอะไรกิน เมียเขาจะจัดอาหารโปรดของผมไว้ คือเค้กซาราลี บัทเทอร์เค้ก นั่นแหละของชอบ ผมกินมันทุกคืน แล้วผมเนี่ยสมัยที่ทำงานอยู่ไม่ดื่มน้ำเปล่านะครับ ดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า วันหนึ่งก็หนึ่งลิตรขึ้นไป เพราะดื่มน้ำเปล่ามันไม่สะใจ แล้วเราก็มีเงินซื้อ ใครจะทำไม ในที่ทำงานผมดื่มกาแฟวันละหลายแก้วเพราะทำงานบริหารด้วย เวลานั่งประชุมฟังลูกน้องพูดเพ้อเจ้อผมก็จิบกาแฟไป วิธีชงกาแฟของผมก็เป็นมาตรฐานไทยแลนด์ คือ ทรี-อิน-วัน หมายความว่าน้ำตาล ครีมเทียม กาแฟ ผสมกันมาเสร็จเรียบร้อยในซองเดียว ใช้ชีวิตแบบนี้เรื่อยมา จนถึงวันที่เริ่มป่วย...

ตอนนั้นผมอายุห้าสิบปลายๆแล้ว มันเริ่มด้วยอาการเวลาทำงานมากๆแล้วแน่นๆหน้าอกไม่สบาย จิตใจก็ค่อนข้างหงุดหงิดงุ่นง่านจนลูกน้องเข้าหน้าไม่ติด ตอนนั้นทำสองจ๊อบ คือเป็นหมอผ่าตัดหัวใจด้วย เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย วันหนึ่งตอนเลิกงานประมาณเกือบสามทุ่ม เลขาหน้าห้องมาดักรอผมอยู่ที่ประตู แล้วรวบรวมความกล้าบอกผมว่า...
“อาจารย์รู้ตัวหรือเปล่าคะ ว่าอาจารย์นะ...หงุดหงิด”…

เมื่อผมตัดสินใจไปตรวจสุขภาพประจำปี ก็ได้มาหลายโรค อย่างแรกก็คือความดันเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา อย่างที่สองก็คือไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา อย่างที่สามก็คือเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งทราบได้จากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจดูแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจ อย่างที่สี่ก็คือลงพุง คือน้ำหนักเกิน และส่วนใหญ่มาอยู่ที่พุง ไม่อ้วน แต่หุ่นเป็นแบบไอ้เท่งหนังตะลุง คือหลังค่อมพุงแอ่น นั่นคือตัวผมเมื่ออายุราว 56 ปี หมอรุ่นน้องซึ่งเป็นหมออายุรกรรมหัวใจก็ให้ยามาหลายตัว หนึ่งโรคก็หนึ่งตัว แถมอีกตัวหนึ่งคือยากล่อมประสาท แสดงว่าหมอเขาคิดว่าผมเป็นโรค ปสด.ด้วย

ผมกินยาตามหมอสั่งได้สองเดือนโดยใช้ชีวิตแบบเดิม ทำงานเหมือนเดิม อาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรดีขึ้น แถมมีอาการซึมกะทือจากยากล่อมประสาทอีกด้วย จิตใจก็แย่ การเป็นคนป่วยนั่นก็แย่ระดับหนึ่งแล้ว ยังมีความเบื่องานบวกเข้าไปอีก ทั้งๆที่เป็นเจ้านายเขาแต่มันก็เบื่อ มองอนาคตตัวเองด้วยความกังวล ว่าวันนี้เราเป็นความดันสูง ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาหนึ่งกำมือ สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคืออะไรผมมองออกหมดแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลูน ทำไปสักสองสามครั้งแล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส อย่างที่ผมทำให้คนไข้ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ ทำแล้วบ้างก็ดีขึ้น บ้างก็ไม่ดีขึ้น บ้างก็ตาย เพียงแต่คราวนี้จะเปลี่ยนเป็นตัวผมนอนอยู่บนเขียง ให้หมอรุ่นน้องคนอื่นเป็นคนผ่าตัดให้…

ณ.ตอนนั้นผมเรียนจบแพทย์มาได้สามสิบปีแล้ว ผ่านการเป็นแพทย์ทั่วไป แล้วไปฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ทั่วไป ทำงานพักหนึ่งแล้วไปฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ทรวงอก ทำงานพักหนึ่งแล้วไปฝึกอบรมต่างประเทศเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ทำงานพักหนึ่งแล้วก็ค่อยๆจำกัดชนิดการผ่าตัดลงจนแทบจะเหลือแต่การผ่าตัดบายพาส คือมุดรูเล็กลงๆเรื่อยๆ เหลือความรู้อยู่แต่เรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญอยู่นิดเดียว สามสิบปีที่ผ่านไป มีความรู้อะไรใหม่ๆเกิดขึ้นในวิชาแพทย์บ้าง ผมไม่ได้ติดตามเลย ผมตัดสินใจถอยกลับมาเรียนวิชาแพทย์ใหม่ด้วยตนเอง ทั้งๆที่ยังทำงานอยู่นั่นแหละ ผมทำในสิ่งที่นักวิชาการเขาเรียกว่า “การทบทวนวรรณกรรม (literature review)“ คือถอยไปตั้งต้นย้อนยุคเมื่อผมจบแพทย์ใหม่ๆ แล้วไล่มาทีละปีพ.ศ.ว่านับตั้งแต่นั้นมามีงานวิจัยทางการแพทย์อะไรใหม่ๆเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ทราบบ้าง

ผมได้พบว่ามีงานวิจัยการรักษาโรคหัวใจที่ให้ผลเหลือเชื่อเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นหมอหัวใจ ผมจะยกตัวอย่างงานวิจัยบางงานที่เตะตาผมจังๆให้ท่านทราบนะ

งานวิจัยนี้ชื่อ EUROSAPIRE เป็นงานวิจัยขนาดใหญ่ ใช้คนไข้โรคหัวใจถึง 13,935 คน ทำในโรงพยาบาลชั้นดีในยุโรป 67 รพ. ใน 22 ประเทศ และมีระยะติดตามดูนานถึง 12 ปี คือเขาติดตามดูคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานปัจจุบัน กล่าวคือกินยา บอลลูน บายพาส คือจะดูว่าถ้าเป็นคนไข้ที่ดี หมอบอกให้กินยาก็กิน และรักษาอยู่กับโรงพยาบาลที่ดี หมอดี เครื่องมือดี ดูซิว่าผ่านไป 12 ปี แล้วคนไข้จะมีอะไรดีขึ้นบ้างไหม ผลวิจัยที่ได้ก็คือ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย อย่างเรื่องความอ้วน ยิ่งรักษากันไปก็ยิ่งอ้วนเผละยิ่งขึ้น ผ่านไปสี่ปีคนอ้วนเพิ่มขึ้น 25% ผ่านไปแปดปี เพิ่มขึ้นอีก 33% ผ่านไปสิบสองปี เพิ่มขึ้นเป็น 38%

มาดูความดันเลือดบ้าง ผ่านไปสี่ปีคนเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น 32% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 43% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 56% เรียกว่ารักษาไปรักษามากลายเป็นความดันเลือดสูงซะมากกว่าครึ่ง มาดูการเป็นเบาหวานก็ได้ ผ่านไปสี่ปีเป็นเบาหวาน 17% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 20% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 28% คือการแพทย์แผนปัจจุบันนี้รักษาคนไข้โรคหัวใจยิ่งทำกันไปก็ยิ่งสาละวันเตี้ยลง พูดเป็นภาษาจิ๊กโก๋ก็คือ
“#วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำกันอยู่นี้มัน...#ไม่เวอร์ค”

คราวนี้มาดูงานวิจัยนี้นะ หมอคนนี้ชื่อ Caldwell Esselstyn เขาเป็นหมอทางด้านต่อมไร้ท่อ เขาได้ทำงานวิจัยโดยเอาคนไข้โรคหัวใจของเขามา 22 คน จับทุกคนสวนหัวใจ ฉีดสี ถ่ายรูปไว้หมด ว่าคนไหน หลอดหัวใจตีบที่หลอดเลือดเส้นไหน ตีบมากตีบน้อยแค่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้ แล้วให้คนไข้เหล่านี้กินแต่อาหารมังสะวิรัต กินอยู่นาน 5 ปี แล้วเอาคนไข้ทั้งหมดกลับมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปใหม่ แล้วเอารูปครั้งแรกและครั้งที่สองมาเปรียบเทียบกัน

ก็พบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบของคนไข้เหล่านี้กลายเป็นโล่งขึ้น อย่างตัวอย่างคนไข้คนนี้ ก่อนเริ่มวิจัย ผลฉีดสีเป็นอย่างนี้ คือเวลาเราฉีดสีเข้าไปในหลอดเลือดแล้วถ่ายเอ็กซเรย์ออกมาเป็นภาพยนตร์ ตัวสีจะเห็นเป็นสีขาวอย่างนี้ เวลาที่สีวิ่งผ่านจุดที่หลอดเลือดหัวใจมันตีบแคบหรือขรุขระ เนื้อสีสีขาวมันก็จะถูกบีบให้แคบและเห็นขอบขรุขระด้วยอย่างนี้ ส่วนภาพนี้เป็นผลการฉีดสีหลังจากกินมังสะวิรัติไปแล้วห้าปี จะเห็นว่ารอยตีบรอยขรุขระที่หลอดเลือดหายไป เหลือแต่ลำสีที่วิ่งได้เต็มหลอดเลือดตามปกติ

นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เราเชื่อกันมาแต่เดิมว่าเป็นแล้วไม่มีทางหายนั้นไม่เป็นความจริง ผลการติดตามฉีดสีซ้ำนี้ยืนยันว่ามันหายได้ และในงานวิจัยของเอสเซลส์ทินนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้มันหายคือการปรับอาหารการกิน

ผมเห็นงานวิจัยนี้ครั้งแรกผมทึ่งมาก ทั้งๆที่เขาทำไว้ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ผมเองเป็นหมอหัวใจผมกลับไม่ทราบเลย เห็นอย่างนี้ผมเชื่อแล้วว่าโรคหลอดเลือดหัวใจมันหายได้ แต่ผมยังมีข้อกริ่งเกรงอยู่ประเด็นหนึ่ง คือตัวผมเองก็เป็นนักวิจัย งานวิจัยที่ไม่ได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่มไว้เปรียบเทียบกันนั้น จะสรุปเอาดื้อๆว่าหลอดเลือดตีบหายเพราะปรับอาหารย่อมไม่ได้ มันต้องมีงานวิจัยแบบเดียวกันที่เอาคนไข้มาสุ่มตัวอย่างเป็นสองกลุ่มแล้วเปรียบเทียบกันดู จึงจะพิสูจน์ได้จะจะว่ามันหายเพราะปรับอาหารจริงหรือไม่

แล้วผมไม่ต้องรอนานเลย หมอคนนี้ชื่อ Dean Ornish เขาเป็นหมอหัวใจ เขาได้ทำงานวิจัยที่เอาไข้โรคหัวมาเกือบร้อยคนจับฉลากแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ใครจับได้เบอร์ดำ ไปเข้ากลุ่มควบคุมซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมาตามปกติ ใครจับได้เบอร์แดงไปเข้ากลุ่มที่ต้องปรับชีวิต คือต้องทำสามอย่าง ได้แก่
(1) ต้องกินอาหารมังสะวิรัติบวกปลา บวกนมไร้ไขมัน
(2) ต้องออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง
(3) ต้องจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิตามดูลมหายใจ
หรือรำมวยจีน หรือโยคะ อย่างใดอย่างหนึ่งทุกวัน

ก่อนเริ่มวิจัยก็เอาทุกคนทั้งสองกลุ่มมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปหลอดเลือดไว้ก่อน พอครบหนึ่งปีก็เอามาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก พอครบห้าปีก็เอาทุกคนมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก ผลวิจัยที่ได้ยืนยันงานวิจัยของเอสเซลส์ทีน คือ กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบที่หัวใจโล่งขึ้น ขณะที่กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบเดินหน้าตีบแคบลง ผลการสวนหัวใจเมื่อห้าปีก็ยิ่งยืนยันว่ากลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบก็ยิ่งโล่งขึ้นอีก กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบก็ยิ่งตีบแคบลงอีก ต้องเจ็บหน้าอกบ่อยกว่า เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่า

#มาถึงตรงนี้โรคหลอดเลือดหัวใจนั้นชัดแล้วว่ามันหายได้ด้วยการกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด แล้วความดันเลือดสูงละ ผมได้ค้นคว้าต่อไปอีก ก็พบว่ามีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาทำไว้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ผมสรุปมาให้ดูตรงนี้คือถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก. ความดันตัวบนจะลดลง 20 มิล ถ้ากินอาหารมังสะวิรัติบวกนมไร้ไขมันบวกปลาความดันตัวบนจะลดลง 14 มิล ถ้าออกกำลังกาย ความดันตัวบนจะลดลง 9 มิล ถ้าเลิกกินเค็ม ความดันตัวบนจะลดลง 8 มิล ถ้าบวกสี่อย่างนี้เข้าด้วยกันความดันตัวบนก็จะลดลงได้มากโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย

คราวนี้โดยบังเอิญ ผมก็ไปพบงานวิจัยปรับชีวิตเพื่อรักษาเบาหวานเข้า งานวิจัยนี้เรียกว่างานวิจัย DPPRG เขาเอาคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มา 3234 คน มาจับฉลากแบ่งเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มที่ 1. ให้ปรับชีวิตในสามประเด็นคืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด
กลุ่มที่ 2. ให้กินยาเบาหวานซะเลยรู้แล้วรู้รอด
กลุ่มที่ 3. ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน
แล้วตามดูคนพวกนี้ไปสี่ปี ดูว่าใครจะป่วยเป็นโรคเบาหวานมากกว่ากัน ผลเป็นอย่างนี้ครับ
กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเป็นเบาหวานมากที่สุด กลุ่มที่กินยาเบาหวานเป็นเบาหวานรองลงมา ส่วนกลุ่มที่ปรับชีวิตเป็นเบาหวานน้อยที่สุด น้อยกว่ากลุ่มแรกเกินสองเท่าตัว

ผมศึกษางานวิจัยถึงการปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือดและลดการเป็นโรค เริ่มต้นผมก็มาสะดุดที่งานวิจัยขนาดใหญ่ของฮาร์วาร์ดอันนี้ ในงานวิจัยนี้ ฮาร์วาร์ดตามดูคนแปดหมื่นกว่าคนนาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหนทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด โดยใช้แคลอรี่ที่เท่ากันเป็นตัวเทียบ และเอาแคลอรี่จากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นเกณฑ์มาตรฐาน พูดง่ายๆว่าเป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้ายของไขมันชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้ผมมีความเข้าใจว่าน้ำมันหมู น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด แต่พอมาศึกษางานวิจัยนี้จึงรู้ว่าเข้าใจชีวิตผิดไปแล้ว

ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือไขมันทรานส์ ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูน้ำมันวัวที่ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คือสรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าไขมันทรานส์นี่มันอะไรกันวะ... เมื่อศึกษาเพิ่มเติมจึงได้ทราบว่าไขมันทรานส์นี้แต่ก่อนมันมีในอาหารของมนุษย์เราน้อยมาก เพราะมันไม่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนคนเราเกิดความกลัวน้ำมันหมูน้ำมันวัวแบบขี้ขึ้นสมอง คนก็หันไปหาน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลืองแต่ว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวนี้มันเอามาทำอาหารอุตสาหกรรมไม่ได้ เพราะมันเหลวเละ อัดเป็นก้อนไม่ได้ ทำให้เป็นผงก็ไม่ได้ นักอุตสาหกรรมจึงเอาน้ำมันพืชมา แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้ น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่าไขมันทรานส์ มันทำมาจากน้ำมันถั่วเหลืองก็จริง แต่มันกลายเป็นน้ำมันอีกอย่างไปแล้ว คุณสมบัติมันเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนคนเคยเป็นเสื้อเหลืองตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสื้อแดง มันคนละเรื่องแล้วแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้ เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรมเช่นเนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เหล่านี้แหละคือ ไขมันทรานส์

ผมถึงบางอ้อเลย เพราะผมดื่มกาแฟ “ทรีอินวัน” ใส่ครีมเทียม และน้ำตาลก้อนวันละหลายแก้ว มีคุ้กกี้ควบกับกาแฟเสมอ แถมกลับบ้านโซ้ยเค้กซาราลีเป็นมื้อเย็นอีก เรียกว่าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไขมันทรานส์ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดมาซะนานนะเนี่ย อุตส่าห์เลิกแคบหมูของโปรดนึกว่าจะได้ดี..ที่ไหนได้

ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง คือ ผมทบทวนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน...
จนผมสรุปข้อมูลได้แน่ชัดว่าหากเรากินอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง น้ำตาล หากคาร์โบไฮเดรตมันเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นไขมันเก็บไว้ และทำให้ระดับไขมันเลวในร่างกายเพิ่มขึ้น และเมื่อผมตามไปดูงานวิจัยที่มาของคาร์โบไฮเดรตในอาหารของคนอเมริกัน ก็พบว่า 35% มาจากเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่นน้ำอัดลมต่างๆ อ้าว..เอาอีกแล้วผม เพราะผมดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า ผมรับมาเต็มๆอีกแล้ว

มาถึงจุดนี้ เห็นงานวิจัยพวกนี้ ผมสรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ผมตัดสินใจเลย...ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง
ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์

เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบทเปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย
ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีแก้ของผมง่ายมาก คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย

ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงเข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท

ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงการรักษาคนสูงอายุที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้ แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้ กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่นเลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม...

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ปัญหาแรกก็คือ เวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว... เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดีอย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้ ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร
ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง...
ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง

หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้ นี่ขนาดผมยังไม่ได้ เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย…

ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมากก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่ แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที...

คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย คือ ลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่ ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มไม้เต็มมือ อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปีก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวหรือ Family Medicine ได้...

จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย...

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ขอขอบคุณ http://visitdrsant.blogspot.com/2014/07/4.html?m=1
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ พบ. Cert.Cardiovascular & Thoracic Surgery (GLH, NZ)
วว.ศัลย์หัวใจหลอดเลือดและทรวงอก อว.เวชศาสตร์ครอบครัว,
เป็นหมอผ่าตัดหัวใจอยู่ 20 ปี
เป็นบรรณาธิการตำราด้านโรคหัวใจและการช่วยชีวิต 3 เล่ม
เป็นกรรมการสมาคมแพทย์โรคหัวใจฯ อยู่หลายสมัยจนต้องเลิกไปด้วยเหตุชราภาพ
ทำงานบริหารเป็นผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพญาไท2 อยู่ 6 ปี
ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นหมอน้อย ทำงานเฉพาะด้านเวชศาสตร์ครอบครัว มีหน้าที่สอนให้คนไข้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ด้วยการออกกำลังกาย การโภชนาการ การพักผ่อนที่พอเพียง และการจัดการความเครียดอย่างเป็นระบบ
มีงานเสริมเป็นประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิต
เป็นกรรมการมูลนิธิช่วยผ่าตัดหัวใจเด็ก
เป็นที่ปรึกษาของอนุกรรมการช่วยชีวิตของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย (TRC)
ท่านที่มีคำถามสุขภาพกรุณาส่่งไปให้หมอสันต์ทางอีเมลที่ chaiyodsilp@gmail.com
https://www.blogger.com/profile/004563122796789399...



#ข้อมูลอ้างอิงจาก :
บทความถอดเทปที่บันทึกไว้จาก คอร์สสุขภาพของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บทความจาก : iambebebe 
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : Healthie Tastie จาก บริษัท บี เบบี้ จำกัด